เมนู

อรรถกถาสติปัฏฐานกถา


บัดนี้ จะพรรณนาตามความที่ยังไม่เคยพรรณนาแห่งสติปัฏฐานกถา
อันมีพระสูตรเป็นเบื้องต้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอนุปัสสนาวิเศษ 7
อย่าง ยกอิทธิปาฏิหาริย์ที่พระองค์ตรัสแล้วในลำดับแห่งสมสีสกถาเป็นตัวอย่าง
ตรัสแล้ว.
พึงทราบความในพระสูตรนั้นก่อน บทว่า จตฺตาโร สติปัฏฐาน 4
เป็นการกำหนดจำนวน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงการกำหนดสติปัฏฐาน
ไว้ว่า ไม่ต่ำกว่านั้น ไม่สูงกว่านั้น. บทว่า อิเม นี้เป็นบทชี้ให้เห็นสิ่งที่
ควรชี้ให้เห็น. บทว่า ภิกฺขเว เป็นคำร้องเรียกบุคคลผู้รับธรรม. บทว่า
สติปฏฺฐานา คือสติปัฏฐาน 3 อย่าง ได้แก่ สติเป็นโคจร 1 ความที่
พระศาสดาผู้ประพฤติล่วงความยินดียินร้าย ในสาวกทั้งหลายผู้ปฏิบัติ 3 อย่าง 1
และสติ 1.
สติโคจรท่านกล่าวว่า สติปัฏฐาน มาในพระบาลีมีอาทิว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงความเกิดและความดับของสติปัฏฐาน 4. บทนั้น
มีอธิบายว่า ชื่อว่า ปัฏฐาน เพราะมีที่ตั้ง อะไรตั้ง สติตั้ง การตั้งสติ
ชื่อว่า สติปัฏฐาน.
ความละเมิดคำแนะนำด้วยความข้องใจของศาสดา ในสาวกผู้ปฏิบัติ
ท่านกล่าวว่า สติปฏฺฐานํ ในพระบาลีนี้ว่า พึงทราบการตั้งสติ 3 ประการ
ที่พระอริยะเสพ ซึ่งเมื่อเสพชื่อว่าเป็นศาสดาควรเพื่อสั่งสอนหมู่. บทนั้นมี
อธิบายว่า ชื่อว่า ปัฏฐาน. เพราะควรตั้งไว้ อธิบายว่า ควรประพฤติ
ควรตั้งไว้ด้วยอะไร ด้วยสติ การตั้งไว้ด้วยสติ ชื่อว่า สติปัฏฐาน.

อนึ่ง สติ นั่นแหละท่านกล่าวว่า สติปัฏฐาน มาในพระบาลี
มีอาทิว่าสติปัฏฐาน 4 อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ยังโพชฌงค์ 7 ให้
บริบูรณ์. บทนั้นมีอธิบายว่า ชื่อว่า ปฏฺฐานํ เพราะย่อมตั้งไว้ ความว่า
ตั้งไว้ ก้าวไป แล่นไปแล้วเป็นไปอยู่ สตินั่นแหละตั้งไว้ชื่อว่า สติปัฏฐาน.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า สติ เพราะอรรถว่า เป็นที่ระลึก ชื่อว่า
อุปัฏฐาน เพราะอรรถว่า เป็นที่เข้าไปตั้งไว้ เพราะเหตุนั้น ชื่อว่า สติปัฏฐาน
เพราะสติเข้าไปตั้งไว้บ้าง. นี้เป็นความประสงค์ในที่นี้. ผิถามว่า เพราะเหตุไร
จึงทำเป็นพหุวจนะว่า สติปฏฺฐานา. เพราะสติมีมาก. จริงอยู่ ว่าโดยประเภท
ของอารมณ์ สติเหล่านั้นมีมาก. บทว่า กตเม จตฺตาโร 4 ประการเป็นไฉน
เป็นกเถตุกัมยตาปุจฉา ถามตอบเอง. บทว่า อิธ คือในพระศาสนานี้. บทว่า
ภิกฺขุ ชื่อว่า ภิกขุ เพราะเห็นภัยในสงสาร. ก็การพรรณนาความแห่งบทที่
เหลือในคาถานี้ท่านกล่าวไว้เเล้วในอรรถกถามรรคสัจจนิเทศ ในสุตมยญาณกถา.
ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสสติปัฏฐาน 4 ไม่หย่อน
ไม่ยิ่ง. เพราะเพื่อเป็นประโยชน์แก่เวไนยสัตว์ เพราะเมื่อตัณหาจริต ทิฏฐิจริต
สมถยานิก วิปสสนายานิก เป็นไปแล้วโดยสองส่วน ๆ ด้วยความอ่อนและ
ความเฉียบแหลม กายานุปัสสนาสติปัฏฐานอย่างหยาบเป็นทางหมดจดของผู้มี
ตัณหาจริตอ่อน เวทนานุปัสสนสติปัฏฐานอย่างละเป็นทางหมดจดของ
ผู้เฉียบแหลม จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานอันมีประเภทไม่ยิ่งเกินเป็นทางหมดจด
ของผู้มีทิฏฐิจริตอ่อน ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน อันมีประเภทยิ่งเกินเป็นทาง
บริสุทธิ์ของผู้มีทิฏฐิจริตเฉียบแหลม. สติปัฏฐานข้อที่ 1 เป็นนิมิตควรถึงโดย
ไม่ยาก เป็นทางบริสุทธิ์ของเป็นสมถยานิกอ่อน. สติปัฏฐานข้อที่ 2 เป็น
ทางหมดจดของผู้เป็นสมถยานิกเฉียบแหลม เพราะไม่ดำรงอยู่ในอารมณ์หยาบ.

สติปัฏฐานข้อที่ 3 มีประเภทไม่ยิ่งเกินเป็นอารมณ์ เป็นทางหมดจดของผู้เป็น
วิปัสสนายานิกอ่อน. สติปัฏฐานข้อที่ 4 มีประเภทยิ่งเกินเป็นอารมณ์ เป็นทาง
หมดจดของผู้เป็นวิปัสสนายานิกเฉียบแหลม. เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสสติปัฏฐาน 4 ไว้ในหย่อนไม่ยิ่ง.
อีกอย่างหนึ่ง เพื่อละความสำคัญผิดว่าเป็นของงาม เป็นสุข เป็น
ของเที่ยงและเป็นตัวตน เพราะว่ากายเป็นของไม่งาม. อนึ่ง สัตว์ทั้งหลายมี
ความสำคัญผิด ๆ ในกายนั้นว่าเป็นของงาม เพื่อละความสำคัญผิดนั้น ของสัตว์
เหล่านั้น ด้วยเห็นความเป็นของไม่งามในกายนั้น จึงตรัสสติปัฏฐานข้อที่ 1.
อนึ่ง พระองค์ตรัสถึงทุกขเวทนาในเวทนาเป็นต้นที่สัตว์ถือว่า เป็นสุข เป็น
ของเที่ยง เป็นตัวตน พระองค์ตรัสว่า จิตเป็นธรรมชาติไม่เที่ยง ธรรมเป็น
อนัตตา สัตว์ทั้งหลายยังมีความสำคัญผิด ๆ ในสิ่งเหล่านั้นว่า เป็นสุข เป็น
ของเที่ยง เป็นตัวตน เพื่อละความสำคัญผิดเหล่านั้น ของสัตว์เหล่านั้นด้วย
แสดงถึงความเป็นทุกข์เป็นต้นในสิ่งนั้น พระองค์จึงตรัสสติปัฏฐาน 3 ที่เหลือ
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสสติปัฏฐาน 4 เพื่อละความสำคัญ
ผิด ๆ ว่าเป็นของงาม เป็นของเที่ยง เป็นตัวตน ด้วยประการฉะนี้ มิใช่
เพื่อละความสำคัญผิดอย่างเดียวเท่านั้น เพื่อละโอฆะ 4 โยคะ 4 อาสวะ 4
คันถะ 4 อุปาทาน 4 และอคติ 4 บ้าง เพื่อกำหนดรู้อาหาร 4 อย่างบ้าง
พึงทราบว่า พระองค์จึงตรัสสติปัฏฐาน 4.
พึงทราบวินิจฉัยในสุตตันนิเทศ ดังต่อไปนี้. บทว่า ปฐวีกายึ
กองปฐวีธาตุ คือธาตุดินในกายนี้. เพื่อสงเคราะห์ปฐวีธาตุทั้งหมด เพราะ
ปฐวีธาตุในกายทั้งสิ้นมีมากท่านจึงใช้ กาย ศัพท์ ด้วยอรรถว่าเป็นที่รวม.

แม้ในกองวาโยธาตุเป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ท่านใช้กองผมเป็นต้น
เพราะกองผมเป็นต้นมีมาก. อนึ่ง บทว่า วักกะ ไตเป็นต้น เพราะกำหนด
ไว้แล้วจึงไม่ใช้ กาย เพราะเหตุนั้น พึงทราบว่าท่านจึงไม่ใช้ กาย แห่ง
วักกะเป็นต้นนั้น.
พึงทราบความในบทมีอาทิว่า สุขํ เวทนํ ดังต่อไปนี้. บทว่า สุขํ
เวทนํ
เวทนา ได้แก่ สุขเวทนาทางกายหรือทางจิต. ทุกขเวทนาก็อย่างนั้น.
ส่วนบทว่า อทุกฺขมสุขํ เวทนํ ได้แก่ อุเขกขาเวทนาทางจิตเท่านั้น.
บทว่า สามิสํ สุขํ เวทนํ สุขเวทนาเจืออามิส คือ โสมนัสเวทนาอาศัยเรือน 6.
บทว่า นิรามิสํ สุขํ เวทนา สุขเวทนาไม่เจืออามิส ได้แก่ โสมนัสเวทนา
อาศัยเนกขัมมะ 6. บทว่า สามิสํ ทุกฺขํ เวทนํ ทุกขเวทนาเจืออามิส
ได้แก่ โทมนัสเวทนาอาศัยเรือน 6. บทว่า นิรามิสํ ทุกฺขํ เวทนํ ทุกขเวทนา
ไม่เจืออามิส ได้แก่ โทมนัสเวทนาอาศัยเนกขัมมะ 6. บทว่า สามิสํ อทุกฺขม-
สุขํ เวทนํ
อทุกขมสุขเวทนาเจืออามิส ได้แก่ อุเบกขาเวทนาอาศัยเรือน 6.
บทว่า นิรามิสํ อทุกฺขมสุขํ เวทนํ อทุกขมสุขเวทนาไม่เจืออามิส
ได้แก่ อุเบกขาเวทนาอาศัยเนกขัมมะ 6. บทมีอาทิว่า สราคํ จิตฺตํ จิตมีราคะ
มีอรรถดังกล่าวแล้วในญาณกถา. บทว่า ตทวเสเส ธมฺเม ในธรรมที่เหลือ
จากนั้น คือ ในธรรมเป็นไปในภูมิ 3 ที่เหลือจากกาย เวทนา และจิตเท่านั้น.
อนึ่ง ในบททั้งปวง บทว่า เตน ญาเณน คือ ด้วยอนุปัสสนาญาณ 7 อย่างนั้น.
อนึ่ง บทเหล่าใดมีอรรถมิได้กล่าวไว้ในระหว่าง ๆ ในกถานี้ บทเหล่านั้นมีอรรถ
ดังได้กล่าวแล้วในกถานั้น ๆ ในหนหลังนั่นแล ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถาสติปัฏฐานกถา

ปัญญาวรรค วิปัสสนากถา


สาวัตถีนิทานบริบูรณ์


ว่าด้วยเรื่องวิปัสสนา


[731] ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอ พิจารณาเห็นสังขาร
ไร ๆ โดยความเป็นของเที่ยงอยู่ จักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ ข้อนี้ไม่
เป็นฐานะที่จะมีได้. ผู้ไม่ประกอบด้วยอนุโลมขันติ จักย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม
ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ เมื่อไม่ย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม จักทำให้แจ้งซึ่งโสดา-
ปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตผล ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอ พิจารณาเห็นสังขารทั้งปวงโดยความเป็น
ของไม่เที่ยงอยู่ จักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ผู้
ประกอบด้วยอนุโลมขันติ จักย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ผู้
ย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม จักทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล
หรืออรหัตผล ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้.
[732] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอ พิจารณาเห็นสังขารไร ๆ
โดยความเป็นสุข จักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
ผู้ไม่ประกอบด้วยอนุโลมขันติ จักย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะ
มีได้ เมื่อไม่ย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม จักทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล
อนาคามิผล หรืออรหัตผล ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุนั้นหนอ พิจารณาเห็นสังขารทั้งปวงโดยความเป็นทุกข์อยู่ จักเป็นผู้ประ-
กอบด้วยอนุโลมขันติ ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ จัก